ในปัจจุบันในวงการชาและอาหารเบาๆ ชื่อ "คะน้า"กลายเป็นคำคุ้นเคยในครัวเรือน ครั้งหนึ่งเคยถูกจัดให้เป็น "ผักที่กินยากที่สุด" และปัจจุบัน เนื่องจากมีใยอาหารสูงและมีวิตามินสูง จึงกลายเป็นอาหารยอดนิยมในหมู่คนหนุ่มสาว และมูลค่าของผักก็เพิ่มขึ้นจากไม่กี่หยวนต่อกิโลกรัมเป็น 30 หยวนต่อกิโลกรัม

เครื่องดื่มชาระเบิดด้วยไฟคะน้า
นับตั้งแต่ช่วงครึ่งปีหลังของปี 2024 ผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้องกับผักคะน้าได้พุ่งสูงบนโซเชียลมีเดียโดยมีแฮชแท็กว่า "health explosion"
แบรนด์ชาต่างๆ ก็ได้เข้ามามีส่วนร่วมในตลาดนี้เช่นกัน โดยนำคะน้ามาเป็นส่วนผสมหลัก พร้อมด้วยเครื่องดื่มอะโวคาโด กีวี มะนาว และผลไม้ชนิดอื่นๆ คะน้าครองตำแหน่ง C ในด้านบรรจุภัณฑ์และชื่อ โดยผู้บริโภคส่วนใหญ่ประเมินว่า "แคลอรีต่ำและดีต่อสุขภาพ" และกลายเป็นที่นิยมในแพลตฟอร์มต่างๆ เช่น XiaoHongshu และ Douyin
ผักคะน้า หรือที่รู้จักกันในชื่อว่า ใบโบตั๋น ผักโบตั๋น กะหล่ำปลีทะเล เป็นต้น เดิมทีมีการนำเข้ามาในประเทศจีนเพื่อใช้เป็นไม้ประดับสีเขียว เนื่องจากผักคะน้าชนิดนี้ปรับตัวได้ดี ทนความหนาวเย็นและทนแล้ง จึงได้รับความนิยมจากนักออกแบบสวน และยังมักพบในจุดชมทิวทัศน์และพื้นที่สีเขียวในสวนสาธารณะของกวางสีอีกด้วย
แม้ว่าในตอนแรกจะรู้สึกขมและหลายคนคิดว่ากลืนยาก แต่คุณค่าทางโภชนาการอันอุดมสมบูรณ์ของคะน้าค่อยๆ กลายเป็นทางเลือกอาหารเบาๆ สำหรับคนลดไขมัน และวิธีการกินอย่างการคั้นน้ำและสลัดก็แพร่หลายมากขึ้นเรื่อยๆ
กะหล่ำปลีพันธุ์ใหม่มีน้ำหนักมากขึ้น
ราคาของผักคะน้าพุ่งสูงขึ้นในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา โดยมีราคาซื้ออยู่ที่ประมาณ 2 หยวน/กก. ก่อนครึ่งปีหลังของปี 2567 และตอนนี้ราคาได้พุ่งสูงขึ้นมากกว่า 20 หยวน/กก. แล้ว

ผลิตภัณฑ์คะน้าที่เปิดตัวโดยแบรนด์ชาและเครื่องดื่มรายใหม่ ไม่ว่าจะเป็นวัตถุดิบ สีสัน ไปจนถึงการออกแบบบรรจุภัณฑ์ ล้วนตอบโจทย์การแสวงหาสิ่ง “ใหม่และแปลก” ของผู้บริโภค อีกทั้งการแชร์และการเจาะระบบโซเชียลยังช่วยส่งเสริมให้ผลิตภัณฑ์ได้รับความนิยมเพิ่มมากขึ้นอีกด้วย
สำหรับผู้บริโภคทั่วไป ข้อเสียของรสชาติที่หยาบและขมของผักคะน้ายังทำให้หลายคนไม่กล้ากินผักชนิดนี้ เพื่อแก้ปัญหานี้ ผู้ปลูกและนักวิจัยจำนวนมากจึงเริ่มทุ่มเทให้กับการพัฒนาผักชนิดใหม่ โดยมีเป้าหมายเพื่อเพาะพันธุ์ผักที่ผสมผสานคุณสมบัติที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพของผักคะน้าและมีรสชาติที่ดีขึ้น
มีคุณค่าทางโภชนาการอะไรบ้างคะน้า

ผักคะน้าจัดอยู่ในวงศ์กะหล่ำปลี มีถิ่นกำเนิดที่ชายฝั่งทะเลเมดิเตอร์เรเนียน มีการปลูกผักคะน้าในยุโรปเมื่อกว่า 4,000 ปีที่แล้ว และเพิ่งมีการนำเข้ามาปลูกในประเทศจีนเมื่อช่วงทศวรรษ 1990
สามารถเจริญเติบโตได้ตามปกติในสภาพแวดล้อม 5 ° C ~ 30 ° C และยังสามารถทนต่ออุณหภูมิต่ำในระยะสั้นที่ -15 ° C ถึง -10 ° C ขอบใบมีสีเหลืองเขียว เขียวเข้ม เขียวมรกต เขียวเทา ม่วงแดง แดง ผงและสีอื่น ๆ และพื้นผิวใบมีสีเหลืองอ่อน เขียว และสีอื่น ๆ สีกลางใบมีสีเข้มเป็นพิเศษ ม่วง แดงกุหลาบ ชมพู แดงเข้ม เหลือง เหลืองอ่อน ขาวบริสุทธิ์ สีเนื้อ ฯลฯ นอกจากนี้ยังมีพันธุ์ชนิด variegate
สีสันสวยงาม เหมาะเป็นไม้ประดับอย่างยิ่ง และหากรับประทานเป็นผักก็จะดีมากเช่นกัน เพราะอุดมไปด้วยใยอาหาร วิตามินบี2 วิตามินซี แคลเซียม โพแทสเซียม แมกนีเซียม และสารอาหารอื่นๆ อีกมากมาย
วิธีแก้ปัญหาเรื่องรสชาติ
ผักคะน้านอกจากจะกินหยาบแล้วยังมีรสขมเล็กน้อยอีกด้วย หากต้องการให้ผักคะน้ามีรสชาติดีขึ้น แนะนำให้กินทั้งใบ นอกจากนี้ การลวกก่อนกินยังช่วยลดรสขมเผ็ดได้อีกด้วย
กลุ่มไหนควรงดทานอาหาร

1. ผักคะน้าอุดมไปด้วยออกซาเลตและซัลไฟด์ การรับประทานมากเกินไปอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดนิ่วในทางเดินปัสสาวะ ดังนั้นผู้ที่มีแนวโน้มเป็นนิ่วจึงจำเป็นต้องควบคุมการรับประทาน
2. ผู้ป่วยโรคไทรอยด์และผู้ป่วยที่รับประทานยาต้านการแข็งตัวของเลือด ควรระมัดระวังในการรับประทาน เนื่องจากผงผักคะน้ามีกลูโคซิโนไลด์และวิตามินเคสูง จึงควรปรึกษาแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญด้านโภชนาการก่อนรับประทาน
ทำไมสีมันสวยจัง
เหตุผลว่าทำไมคะน้าสามารถแสดงสีสันที่สวยงามได้ ซึ่งเป็นผลมาจากปริมาณแอนโธไซยานินที่มีอยู่ในนั้น
ส่วนหัวใจ ใบด้านนอก และลำต้นของคะน้าขาวไม่มีสารแอนโธไซยานิน จึงไม่มีสีสันที่สดใส พบสารแอนโธไซยานินในคะน้าม่วงทั้งหมด 9 ชนิด และมีปริมาณมาก แอนโธไซยานินเป็นสารต้านอนุมูลอิสระซึ่งมีผลหลายประการ เช่น ต้านการอักเสบ ต้านเนื้องอก ต่อต้านวัย ช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดและไขมันในเลือด และป้องกันโรคหัวใจและหลอดเลือด
ติดต่อ: เซเรน่า จ่าว
WhatsApp&WeChat :+86-18009288101
E-mail:export3@xarainbow.com
เวลาโพสต์ : 27 ก.พ. 2568